ตะลึงกันทั้งวงการรถยนต์กันทีเดียว เมื่อบริษัทฮอนด้า ออโต้โมบิลประเทศไทย ผลิต Jazz Hybrid ขายในประเทศ ชนิดที่ว่าเปิดราคามา ทำเอาหลายค่าย ถึงกับสะดุ้ง กับราคาในรุ่นเดียว ไม่ต้องมานั้งเลือกให้ปวดหัว กับราคา 768,000 บาท
กับคำถามคาใจหลายๆคน ว่าเจ้า Jazz นี่มัน Hybrid แล้วมันประหยัดได้แค่ไหนเชียวครับ ผมจัดให้แบบทดสอบแบบใช้งานจริง แบบเอาไปเที่ยวจริงโดยขับทดสอบ กรุงเทพ เชียงใหม่ ดอยอ่างขาง แล้วก็กลับมา พูดง่ายๆแหละลองเอา ไปเที่ยวดูซิว่า ทั้งการใช้งานในเมือง นอกเมืองจะทำได้ขนาดไหนเชียว
แต่ก่อนไปถึงจุดนั้น ขอให้รายละเอียดคร่าวๆ กับ Jazz Hybrid กันซะก่อน Jazz Hybrid มีให้เลือก 4 สี คือ เขียว,ขาว,น้ำเงิน,บรอนซ์เงิน รูปโฉมภายนอกแทบจะไม่แตกต่าง กับ Jazz ตัวปัจจุบัน ยกเว้นกระจังหน้า กันชนหน้า และไฟท้ายใสๆด้านหลัง และโลโก้ Hybrid
เครื่องยนต์ขนาด 1,300 ซีซี พ่วงด้วยมอเตอร์ IMA หรือ intergrated motor assist หรือพูดง่ายๆ มีมอเตอร์ มาคอยช่วยเสริมแรงเครื่องยนต์ โดยจะมีแบตเตอรี่คอยเก็ยไฟที่ ด้านหลังของรถยนต์ การทำงานระบบไฮบริดของ ฮอนด้าคือ ใช้ไฟที่เก็บจากแบตเตอรี่ มาช่วยปั่นเจ้ามอเตอร์ เพื่อให้มอเตอร์มาช่วยงาน เครื่องยนต์ เครื่องยนต์จะได้ ไม่ต้องออกแรงเยอะ ผลคือกินน้ำมันน้อยลง โดยที่เครื่องยนต์ไม่ต้องออกแรงมากมาย
และเมื่อเราเบรค หรือชะลอรถ ระบบจะเก็บพลังงานไปเป็นไฟฟ้า ส่งกลับไปเก็บที่แบตเตอรี่ (อ่อ ฮอนด้า เค้ารับ ประกันระบบ 5 ปีทีเดียวนะจ๊ะ) อีกระบบที่มาเสริมความประหยัดคือ Auto Stop เมื่อรถคุณจอดนิ่ง และเหยียบเบรค เครื่องยนต์จะดัีบเอง และทันทีที่ปล่อยเบรค เครื่องจะติดขึ้นมา ให้เราทะยานไป ได้ทันที
มาดูภายในกันบ้าง ที่โดดเด่นเลยคงเป็น แอร์ดิจิตอลซึ่งเย็นจับใจ ใช้งานสะดวกสบาย ที่พวงมาลัยมีปุ่มควบคุมวิทยุและจอแสดงผลการขับขี่ เครื่องเล่นวิทยุ มีที่ต่อ USB มาให้ แม้เสียงวิทยุที่ฟังแล้ว จะไม่ประทับใจเท่าไหร่นัก
ช่องวางขวดน้ำมีมากมายหลายตำแหน่ง ตัวเบาะเป็นผ้าครับ ระยะยาวคงมีขาดกันบ้าง ระบบความปลอดภัย ก็มีทั้งถุงลม คู่หน้ามาให้ เข็มขัดนิรภัยมีมาครบที่นั่ง และที่ผมชอบมาก ซึ่งมันมีผลที่ทำให้เราสามารถได้ใช้งานแบบประหยัดจริงคือ ECON MODE เมื่อกดปุ่มนี้แล้ว เมื่อเราเหยียบคันเร่ง รถจะไม่ปรู้ดปร้าด จะค่อยๆไป ซึ่งระบบนี้เมื่อเปิดแล้ว ระบบจะไปสั่งงานให้เครื่องยนต์ เกียร์ การจ้ายเชื้อเพลิง ใช้งานอย่างประหยัดที่สุด
และที่เป็นพระเอกตู่ดันคือ Eco Coaching ซึ่งจะคอยชี้แนะพฤติกรรมการขับของเรา โดยจะแสดงผลเป็นสี เมื่อเป็น ไฟสีเขียว หมายความว่า เราขับแบบประหยัด ถูกต้อง นอกจากนี้ยังมีจอ i MID แสดงสถานะการใช้น้ำมัน ระยะทาง ซึ่งผมถือว่าใช้งานได้ผลจริง
เล่ามาซะพอประมาณล่ะ มาพูดถึงการใช้งานบ้าง กับเส้นทางขาไป กรุงเทพ เชียงใหม่ โดยผมใช้น้ำมันแก็สโซฮอล์ 91ตลอดการเดินทางอัตราการกินน้ำมัน ขาไปเริ่มเติมเต็มที่ บางปะอิน เส้นทางแม้จะห่วยแตกแถวกำแพงเพชร แต่ช่วงล่างของJazz Hybrid ที่บรรทุก 2 คน(รวมคนขับ) ก็เอาอยู่ สามารถผ่านทาง ที่ผมนึกว่า เกือบถึงดวงจันทร์ ได้เป็นช่วงๆ เบรคทำงานได้ดีแม้จะเป็น ดิสก์เบรคหน้า และหลังเป็นดรัมเบรคก็ตาม
การเดินทางช่วงบางปะอิน ถึงลำปาง ใช้น้ำมันหมดไป 30 ลิตร หน้าจอโชว์ค่าเฉลี่ย 21.1 ลิตร แต่กับระยะทาง 500 กว่ากิโลเมตร ผมคะเนคร่าวๆว่ากินน้ำมัน ที่ 18-19 กิโลลิตร แต่ก็นะทางขึ้นเขามาตลอด แถมฝนตกบ้าง ขับเดี๋ยวช้าเดี๋ยว เร็วอีก (ความเร็วเฉลี่ย 110 ก.ม./ชั่วโมง)
หลังจากเติมน้ำมันเต็มที่ลำปาง ผมก็ฮ้อไปเชียงใหม่ ได้ทดสอบช่วงขุนตาล ในเวลาตีสี่ ลองเข้าโค้งหนักๆ ตามโค้งซ้ายขวาที่ใครหลายๆคนใช้เส้นนี้ จะรู้ดีว่า โค้งเยอะจริง แต่ทางออกแบบมาได้ดีเช่นกัน Jazz พาผ่านโค้งมาอย่างสบาย ในระดับความเร็วร้อยต้นๆ เร็วกว่านี้ผมไม่กล้าหรอกครับ จุดหมายผมโน่น ดอยอ่างขาง
หลังจากเพิ่มความมั่นใจจากการเข้าโค้งที่ขุนตาล ช่วงเช้าจึงลองแวะเข้าดอยสุเทพ การขึ้นดอยสุเทพ ถือว่าสบายๆ มอเตอร์ ได้ออกแรงช่วงเร่งบ้าง ถือว่า ทำงานได้ดีควบคู่กับเครื่องยนต์ที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ หลังจากแวะดอยสุเทพแล้ว ผมมุ่งหน้า สู่ดอยอ่างขาง โดยเลือกขึ้นทาง อ.ไชยปราการ ที่ใครๆก็ว่าทางชัน
ชันจริงครับ ผมเคยไปมาแล้วรอบนึง ครั้งนี้ Jazz Hybrid ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แม้เครื่องยนต์จะมีขนาดเล็ก แต่สามารถขึ้นดอยอ่างขาง ด้าน อ.ไชยปราการแบบ ต้องกดคันเร่งกันลึกหน่อย ลัดเลาะขึ้นมาถึงดอยอ่างขาง แบบสบายๆเพราะฉนั้นใครซื้อ Jazz Hybrid ก็สามารถพามาได้ถึงนี่เช่นกัน
แหม...ไหนๆก็มาแล้ว ลองขับไปถึงยันบ้านนอแล และจุดชมวิวเพื่อเก็บภาพมายืนยันครับว่ามาจริง ส่วนขากลับ ผมเลือกกลับ ทางด้าน อ.เชียงดาวครับ
ลงทางนี้ปลอดภัย ทางไม่ชันครับ แนะนำสำหรับใครที่ลงทางชันด้าน อ.ไชยปราการ ควรเปิดกระจกขับ เพราะเมื่อเบรคไหม้คุณจะได้กลิ่น แล้วควรจอดทันที อย่าใจเย็นขับไป เพราะนั่นจะทำให้คุณลงไปนอนคุยกะก้อนหิน ที่ก้นภูเขาได้ครับ
พูดถึงทางลงด้านเชียงดาว ถือว่าวิวดี แต่ทางอาจแคบไปนิด แนะนำว่าควรใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นครับ หลังจากลง ทางเชียงดาว ผ่าน อ.แม่ริม เวลาเหลือเยอะ
ผมจึงแวะขึ้น ม่อนแจ่มครับ ม่อนแจ่มนี่ หมองเลยทีเดียว หากไปถึงอ่างขางมาแล้ว หลังจากลงจากม่อนแจ่ม สัญญาณ เตือนน้ำมันดังขึ้น เดาว่าน้ำมันในถังเหลือ อย่างน้อย 5 ลิตร เติมเข้าไปใหม่อีก 30 ลิตร และประมาณว่า 30 ลิตรที่ใช้ไปนั้น ได้ประมาณ 17 กิโล/ลิตร ซึ่งถือว่า เกินคาดหมายมากๆ
เพราะเส้นทาง จากลำปาง ข้ามขุนตาล ขึ้นดอยสุเทพ ขึ้นดอยอ่างขาง ขับเล่นแถวดอยอ่างขาง ไปบ้านชาวเขา ไปจุดชมวิวและขากลับไปทางเชียงดาว ซึ่ง ทางขึ้นลงเขาตลอด ตบท้ายด้วยม่อนเจ่มอีก 17 กิโล/ลิตร สำหรับผมถือว่า ดีมากๆครับ
การใช้งานขากลับผมขับค่อนข้างเร็วครับ 120 กิโลเมตร โดยเฉลี่ย วัดอัตราการกินน้ำมันได้ 20 กิโลลิตร โอ้วแม่เจ้า ลืมบอกไปว่า วิ่งที่ความเร็ว 120 รอบเครื่องแค่ 2,200 รอบเท่านั้น แม้เกียร์ CVT ที่ให้มาอาจจะไม่ได้เร็ว ปรู้ดปร้าด แต่ที่ได้มาคือความราบเรียบไร้อจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ และการประหยัดน้ำมัน
แล้วถ้าถามว่าใช้ในเมืองล่ะ กินน้ำมันแค่ไหน ผมวัดได้ประมาณ 16-17 กิโลลิตรครับ แต่บอกก่อนนะ ผมแยู่ย่านลาดพร้าวซึ่งรถติดระดับต้นๆของไทย ถ้าถามว่าคุ้มมั้ย ที่จะเสียเงินซื้อ Jazz Hybrid มาใช้งาน คุณลองถามตัวคุณครับว่า ความคุ้มค่าตัวคุณอยู่จุดไหน แหงครับ คุณได้จ่ายค่าน้ำมันน้อยลงแน่นอน
แต่สิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนได้ทำก่อนซื้อรถคือ ไปลปงขับก่อน ว่าเราชอบมั้ย ข้อมูลที่ให้เป็นแค่เบื้องต้น เพื่อการตัดสินใจเท่านั้นแนวโน้มรถในอนาคต คงได้เปลี่ยนมาใช้ไฮบริดหมดแน่นอนครับ เพราะฉนั้นซื้อวันนี้ก่อน เราก็ได้ประหยัดก่อนเรื่อง กังวล เรื่องแบต คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ
ผมเดาว่า แบตคงอยู่ได้เกินห้าปีแน่ๆ ถึงตอนนั้่นอาจมีเทคโนโลยีที่ทำให้แบตจุไฟมากขึ้น ในราคาที่ถูกลง กับรถราคา 768,000 บาท ได้ความประหยัดจริง
แม้จะเหยียบเต็มที่ หรือรถติดก็ตาม บวกด้วยความอเนกประสงค์ ของห้องโดยสาร ผมว่าอีกหน่อย Jazz Hybridก็จะวิ่งกัน ให้เกลื่อนล่ะครับ
ขอขอบคุณ : บริษัท ฮอนด้า ออโต้โมบิล ประเทศไทย (จำกัด)
ขอบคุณ
http://www.thailandlism.com/
http://www.thailandlism.com/
0 comments:
Post a Comment